EP ตั้งบริษัทย่อย

EP ตั้งบริษัทย่อย

บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ EP แจ้งว่า บริษัท อีเทอร์นิตี พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETP ซึ่งเป็นบริษัทที่ EP ถือหุ้น 75% ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ชื่อ บริษัท อีสเทอร์น โคเจนเนอเรชัน จำกัด (EP-COGEN) ทุนจดทะเบียน 1,000,0000 บาท มี ETP ถือหุ้น 100%SCC เตรียมปรับโครงสร้างธุรกิจเคมิคอลส์

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) หรือ SCC แจ้งว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างธุรกิจเคมิคอลส์ รวมถึงการเสนอขายหุ้น บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด ต่อประชาชนทั่วไป เพื่อรองรับโอกาสในการขยายธุรกิจเคมิคอลส์ในอนาคต เช่น ความเป็นไปได้ในการขยายกําลังการผลิตในภูมิภาคอาเซียน และการลงทุนอื่น ๆ คาดว่าการศึกษาและการปรับโครงสร้างดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2565

โดยเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา เอสซีจี เคมิคอลส์ ได้ลงนามในสัญญาซื้อหุ้นผ่าน SCG Chemicals Trading (Singapore) Pte, Ltd. เพื่อเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 70% ใน Sirplaste-Sociedade Industrial de Recuperados de Plástico, S.A. (Sirplaste) โดยคาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นภายในปี 2564 ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมจะยังคงถือหุ้น 30% และบริหารกิจการร่วมกับ SCG Chemicals ซึ่งเป็นการดำเนินกลยุทธ์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดภาวะโลกร้อน พร้อมตอบโจทย์ลูกค้าและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม เอสซีจี เคมิคอลส์

สำหรับ Sirplaste ประกอบธุรกิจด้านพลาสติกรีไซเคิลรายใหญ่ที่สุดในประเทศโปรตุเกส ด้วยกําลังการผลิต 36,000 ตันต่อปี มีการผลิตและขายสินค้าให้กับลูกค้าทั้งในประเทศโปรตุเกสและทวีปยุโรป
การลงทุนใน Sirplaste นอกจากเป็นการเข้าสู่ธุรกิจพลาสติกรีไซเคิลอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ยังสร้างโอกาสในการพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีรีไซเคิล และขยายช่องทางการขายในตลาดยุโรปด้วย

ส่วนความคืบหน้าโครงการขยายกําลังการผลิตของ บริษัท มาบตาพุดโอเลฟินส์ จํากัด (MOC) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเอสซีจี เคมิคอลส์ และบริษัทในกลุ่ม The Dow Chemical Company (Dow) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย SCC มีสัดส่วนในการถือหุ้นทางอ้อมใน MOC 67% และกลุ่ม DOW ถือหุ้นส่วนที่เหลือ 33% ปัจจุบันการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จด้วยดี โรงงานเริ่มทดลองดำเนินการผลิตแล้ว คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มกําลังภายในเดือนพฤษภาคม 2564 ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกใช้ วัตถุดิบ นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีใหม่ซึ่งทำให้กระบวนการผลิตมีต้นทุนลดลง และยังประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Process)

สำหรับการดำเนินงานของ SCC ในไตรมาส 1 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 122,066 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 105,741 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 23,665 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี EBITDA 14,122 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 14,914 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,971 ล้านบาท
ในขณะที่ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 51,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 38,329 ล้านบาท มี EBITDA 10,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี EBITDA 2,910 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 8,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,778 ล้านบาท